Monday, 20 March 2023

ทำอย่างไรดี เมื่อ “กัญชาเสรี” บุกโรงเรียน

วันที่ 9 มิถุนายน 2565 นับว่าเป็นวัน “ปลดล็อกกัญชา” ของเมืองไทย “กัญชาเสรี” หลังจาก กระทรวงสาธารณสุข ประกาศว่า กัญชาไม่ใช่ “ยาเสพติด” ทั้งยังยกเลิกข้อผิดพลาดฐานผลิต นำเข้า ส่งออก มีไว้ในครอบครองเพื่อเสพหรือขาย รวมถึงการเสพหรือการสูบ ซึ่งสร้างความวิตกกังวลให้กับหลายฝ่าย เพราะไม่มีการเตรียมมาตรการทางกฎหมาย เพื่อรับมือกับผลที่จะตามมา

หลังจากประกาศปลดล็อกกัญชา ก็มีข่าวการใช้กัญชาที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายผู้ใช้อย่างแพร่หลาย ทำให้ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานคร ประกาศให้โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพฯ เป็น “เขตปลอดกัญชง – กัญชา” ในวันที่ 15 มิถุนายน 2565 เหมือนกับตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ประกาศว่าโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการจะต้องเป็น “โรงเรียนปลอดกัญชา”

ความพยายามในการขัดขวางกัญชาในโรงเรียนที่สวนทางกับ “เสรีกัญชา” นอกรั้วโรงเรียน ทำให้การสั่งห้าม กลายเป็นเรื่องยาก และเป็นความไม่ค่อยสบายใจที่ “อาจารย์” ต้องหาทางจัดการกับกัญชา ที่ไหลหลากเข้ามาในโรงเรียน

ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้อาจารย์คนไม่ใช่น้อยตั้งวง “คุยสถานการณ์กัญชาเสรีในโรงเรียน” เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อสะท้อนปัญหาเรื่องกัญชาในโรงเรียน ที่บางครั้งก็อาจจะเป็นปัญหาลุกลามใหญ่โต หากว่าไม่มีมาตรการต่อกรที่ชัดเจน

กัญชาเสรีในโรงเรียน

เหตุการณ์ กัญชาเสรี ในโรงเรียน

คุณครูผู้คนจำนวนมากเริ่มสะท้อนว่า ก่อนที่จะมีการปลดล็อก ตามประกาศกฎหมาย กัญชาเสรี ก็ประสบปัญหา นักเรียนแอบใช้กัญชาอยู่บ้าง รวมถึงสารเสพติดอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีสาเหตุจากเด็กนักเรียนอยากรู้อยากลอง โดยผู้เรียนที่ใช้กัญชาจะมีลักษณะอาการง่วง หลับในห้องเรียน และไม่พร้อมที่จะศึกษา ขณะที่อาจารย์ชอบใช้ แนวทางการติเตียน ซึ่งทำให้นักเรียนไม่ต้องการที่จะอยากมาเรียน ด้วยเหตุว่ารู้สึกอับอายขายหน้า และหวาดกลัว

จากการสังเกตของอาจารย์หลายๆคน ตั้งแต่ช่วงเปิดเทอมหลังการระบาดของโรคโควิด-19 ที่กินเวลากว่า 2 ปี พบว่าพฤติกรรมลักขโมยของ และใช้กัญชาในนักเรียนมีมากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งได้รับแจ้งข้อมูลว่า มีเด็กเข้าไปเกี่ยวข้องกับ กัญชา ในทุกระดับชั้น และชั้นที่อายุน้อยที่สุดได้รับแจ้งเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

หากว่าคุณครูจะต้องต่อกรกับปัญหา กัญชา และพยายามหาทางแก้ไขปัญหาการใช้กัญชา ของผู้เรียน แต่ครูที่ร่วมวงพูดคุย ก็สะท้อนว่า การเป็นครูเหมือนอยู่ที่เปลือกของปัญหา เพราะเหตุว่าการเข้าถึงรากของปัญหา จำเป็นต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่สำหรับโรงเรียนที่ถึงแม้จะถูกระบุว่า เป็นสถานที่ราชการ และไม่อนุญาตให้นำกัญชาเข้ามา แต่เมื่อเด็กนักเรียนก้าวเท้าออกมาจากโรงเรียน ก็สามารถพบเห็นการซื้อขายกัญชาได้อย่างไม่ยากเย็น จึงทำให้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับการใช้กัญชา ในโรงเรียนเป็นปัญหาที่ไม่สามารถที่จะสามารถควบคุมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์

ปัญหาที่อาจารย์พบเจอ

ปัญหาข้อหนึ่งที่อาจารย์สะท้อน เป็นการเข้าถึงสื่อที่ง่ายเหลือเกิน โดยเฉพาะ TikTok ที่ผู้เรียนสามารถเข้าถึงข้อมูลเรื่องกัญชาได้ง่ายแค่ปลายนิ้ว แต่ข้อมูลที่ปรากฏกลายเป็นข้อมูลด้านเดียวที่ระบุว่า การใช้กัญชาจะมีผลให้จิตใจเบิกบาน ช่วงเวลาเดียวกันคุณครูเองก็ขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องกัญชา หรือเรื่องหลักพิษวิทยาของกัญชา ทำให้อาจารย์ปราศจากความพร้อมสำหรับการสอน หรือต่อกรกับเด็กที่ใช้สารเสพติด

ในทางกลับกัน อาจารย์เล็กน้อยที่ตระหนักถึงจุดสำคัญของการสอนเรื่องข้อดี-ข้อด้อยของกัญชา และพยายามเชิญนักเรียนคุยแลกเปลี่ยน เรื่องกัญชาในคาบเรียน กลับมิได้รับการช่วยสนับสนุนหรือไม่มีคุณครูท่านอื่นร่วมด้วย เนื่องจากว่าฝ่ายกิจการเด็กนักเรียนเห็นว่าการสอนเรื่องกัญชาเป็นเรื่องขบขัน และไม่ใส่ใจที่จะให้ความรู้

อย่างเดียวกัน แม้นักเรียนจะสนใจประเด็นนี้เป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงวิชาความรู้เรื่องกัญชาได้ เพราะขัดกับหลักโรงเรียนคุณธรรม

ครูหลายคนชี้ว่า อุปสรรคที่มีความสำคัญที่สุดของสถานการณ์กัญชาในโรงเรียน เป็นทิศทางของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ไม่สอดคล้องกับทิศทางของสังคม และนโยบายกัญชาเสรีของภาครัฐ ส่งผลให้คุณครูดำเนินการลำบาก อาจารย์ราวกับตกอยู่ในเหตุการณ์ออกศึกแต่ไม่มีอาวุธ ตั้งแต่ไร้สื่อการสอนเรื่องกัญชาที่เป็นกลาง ที่บ่งชี้ทั้งด้านดี และด้านเสียของการใช้กัญชา ไปจนถึงกรรมวิธีรับมือกับเด็กที่ใช้กัญชาอย่างถูกต้อง และไม่ตัดทอนความเป็นคนของนักเรียน

นอกเหนือจากนี้ ภาระหน้าที่งานอื่นๆเยอะมากๆที่นอกเหนือจากการสอน ก็เป็นอีกต้นสายปลายเหตุที่ทำให้อาจารย์ผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยเลือกที่จะนิ่งเฉยต่อเด็กที่มีปัญหา ถึงแม้คุณครูรุ่นใหม่จะพยายามเข้าไปเปลี่ยน แต่แรงกระแทกจากคำสั่งกระทรวงฯ ผู้อำนวยการ เพื่อนคุณครู หรือผู้ปกครอง ก็นำมาซึ่งการทำให้คุณครูคนไม่ใช่น้อยยอมแพ้ไปในที่สุด

กัญชาเสรี

ทางออกสำหรับทุกคน

คุณครูที่ร่วมกลุ่มพูดคุยสะท้อนว่า ทางออกของหลักสำคัญกัญชาเสรีในโรงเรียนเป็น สร้างการศึกษาที่เปิดกว้าง ให้นักเรียนได้ตั้งข้อซักถามกับการใช้กัญชา เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ศึกษา และเข้าถึงข้อมูลที่ถูก รวมทั้งสร้างโอกาสให้ มีการติดต่อสื่อสารระหว่างเด็กนักเรียน คุณครู และผู้บริหาร เช่นเดียวกับการผลิตสื่อการสอนที่เป็นกลาง ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เอ๋ยถึงจุดเด่น – จุดบกพร่องของการใช้กัญชาอย่างตรงไปตรงมา และสามารถเข้าถึงข้อมูลกลุ่มนี้ได้ง่าย

ทั้งนี้ การผลิตวัฒนธรรมองค์กรที่ “รับฟังนักเรียน” จะเป็นทางออกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในระยะยาว โดยคุณครูที่ร่วมวงเสวนามีความคิดเห็นว่า โรงเรียนไม่มีระบบที่เข้ามารองรับและช่วยเหลือ นักเรียนที่ใช้สารเสพติด เช่นเดียวกับการติดต่อสื่อสารกับเด็กนักเรียนกลุ่มนี้ก็เป็นได้ยาก เพราะครูกับเด็กนักเรียนใช้คนละภาษา

ยิ่งไปกว่านั้น ความนิยมของโรงเรียนก็ตัดสินว่านักเรียนที่ใช้สารเสพติดเป็นคนไม่ดี อาจารย์ก็เพ่งเล็งว่านักเรียนคนนั้นๆเป็นเด็กเกเร เพื่อนร่วมชั้นก็ไม่รับ ซึ่งทั้งหมดล้วนทำให้การเห็นคุณประโยชน์ในตัวเอง และกลับเนื้อกลับตัวให้ดีขึ้น ของผู้เรียนคนนั้นเกิดได้ยากขึ้นกว่าเดิม

ด้วยเหตุนั้น การทำงานกับความเชื่อของคุณครูและเพื่อนร่วมชั้น ก็เลยเป็นเรื่องจำเป็นเป็นอย่างมาก เพื่อทำให้เด็กนักเรียนมีคนที่สามารถเชื่อใจและพูดคุยได้ ซึ่งจะก่อให้นักเรียนรู้สึกไม่เป็นอันตราย เกิดความเชื่อถือและเชื่อใจ ทำให้เกิดความรู้สึกเชื่อมั่น และสะท้อนการเห็นคุณค่าในตนเอง ที่เยอะขึ้นเรื่อยๆ

สุดท้ายเป็นความรับผิดชอบของภาครัฐ ที่ควรมีแผนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อช่วยเหลือครูในสถานศึกษาที่กำลังรับมือกับปัญหาด้านการใช้กัญชาของนักเรียน รวมไปถึงนโยบายที่จะช่วยอุดรอยรั่วของนโยบายกัญชาเสรี เพื่อป้องกันนักเรียนจากการใช้กัญชาโดยไม่ตระหนักถึงข้อผิดพลาดของมัน เหมือนกันกับป้องกันไม่ให้กำเนิดคือปัญหาที่จะถาโถมเข้าใส่อาจารย์ จนถึงคุณครูรู้สึกหมดพลังกับการจัดการกับปัญหารายวัน และลดทอนศรัทธาของครูที่ตั้งใจมาให้ความรู้ความเข้าใจกับเด็กนักเรียน